เชิญ Read More ด้านในเลยครับ
สวัสดีนักเล่นเกมทุกท่านครับ เป็นยังไงกันบ้างช่วงนี้ เกมฟอร์มดีๆค่อยๆทะยอยออกมา จนเลือกเล่นกันแทบไม่ถูกเลยทีเดียว ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีเลยก็ว่าได้ใช่มั้ยครับ สำหรับครั้งนี้ ก็มาพบกับบทความรีวิว Alone in The Dark คงทราบกันว่าเกมมันก็ออกมาใ้ห้เห็นหลายเดือนพอสมควร แต่เชื่อว่าแฟนๆชาวไทยส่วนมาก คงเพิ่งได้โอกาสเล่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุ ที่ก็คงทราบกันดีว่า เกมนี้มีระบบ Protection ที่โหดร้าย ยากแก่การปลุกเสกผีขึ้นมาได้ในช่วงแรก ประกอบกับตัวแทนจำหน่ายก็นำเข้ามาล่าช้าเสียหน่อย เอาล่ะครับ เช่นเคย หลังจากได้สัมผัสกับตัวเกมจนบริบูรณ์แล้ว บวกกับมีเวลาว่างในการเรียบเรียงแล้ว ผมก็ขอโอกาสพาเพื่อนๆที่สนใจไปชมกันว่าตัวเกมจะเจ๋งยังไง สมการรอคอยหรือไม่ เชิญด้านในเลย
ความต้องการของระบบ (จากไฟล์ Readme ของเกม)ระบบปฎิบัติการ: Windows XP SP2 32-bit หรือ 64-bit หรือ Windows Vista 32 bits หรือ 64 bits หน่วยประมวลผล: Intel Pentium D 805 2.6 GHz หรือ Athlon X2 +3800 (แนะนำ Intel Core 2 Duo 2.2 GHz)การ์ดแสดงผล: NVIDIA GeForce 7800 GTX PCI Express หรือ ATI Radeon X1650 XT PCI Express หรือดีกว่า ATI Radeon X1950 XT AGP หรือดีกว่า (แนะนำ NVIDIA GeForce 8800 GTS หรือ ATI Radeon HD3850 หรือดีกว่า) การ์ดจะต้องมีหน่วยความจำ 256 MB (ที่แนะนำคือ 512 MB) ซาวด์การ์ด: ซาวด์การ์ดที่รองรับ DirectX version 9.0cRAM: 1 GB ใน Windows XP และ 2 GB ใน Windows Vista (แนะนำ 2GB ในทุกระบบ)พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสค์: 8.5 GBDVD drive: 4X หรือเร็วกว่าDirectX: DirectX 9.0c หรือสูงกว่าInput: คีย์บอร์ด และ เมาส์ หรืออุปกรณ์ควบคุมที่สนับสนุน ต้องการการเชื่อมต่ออินเตอร์เนท (เป็น Protection ของเกม เว้นแต่ว่าจะถูกแก้ไขแล้ว):- เพื่อทำการติดตั้งเกม- เพื่อเข้าเล่นเกมในครั้งแรก- เพื่อทำการถอนการติดตั้งโดยสมบูรณ์
ขอเรียกน้ำย่อยกันด้วยวิดีโอตัวนี้ ซึ่งเพื่อนๆจะได้ชมตัวเอก และ Theophile ในคัทซีนแรกๆของเกมครับ
Alone in The Dark พัฒนาโดย Eden Games เผยแพร่และจัดจำหน่ายโดย Atari แนวเกมแอ๊คชั่น ผจญภัย เอาชีวิตรอด แฝงความสั่นประสาท Survival horror Action-adventure ยาวเลย เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนผมจึงขอวงเล็บชื่อบทความไว้หน่อยว่า 2008 จริงๆภาคนี้เป็นภาคที่ 5 ของซีรี่ส์ Alone in The Dark มีชื่อในช่วงแรกของการพัฒนา และประชาสัมพันธ์ว่า Alone in the Dark: Near Death Investigation แต่ในภายหลัง ตัดสินใจเรียกเกมในภาคนี้เฉยๆว่า Alone in The Dark โดยเชื่อว่าไม่มีเหตุผลใด ที่ต้องใส่ชื่อภาคตามหลัง เพราะนี่คือ Alone in The Dark ที่ยกเครื่องใหม่ทั้งหมด และจะดูแตกต่างจากทุกภาคโดยตัวของมันเอง ยังงั้นเลยทีเดียว
ในภาคนี้เราก็รับบทเป็นตัวเอกคนเดิมครับ คือ Edward Carnby แน่นอนว่านี่เป็น Edward ที่ดูดีที่สุดตามเทคโนโลยีในสมัยใหม่ของเกม หนุ่มที่มีหน้าตาแบบชาวอเมริกันพื้นเมืองนี้ จริงๆแล้วมีอายุ 30 อยู่ในช่วงปี 1938 แล้วเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับมหานครนิวยอร์ค ปี 2008 อันเป็นฉากหลังเอกของเกม ที่กำลังอยู่ภายใต้การทำลายล้างของอำนาจลึกลับได้ยังไง? (แถมยังดูหนุ่ม 30 ยังแจ๋วอีกด้วย) และอะไรคือปริศนาที่ซ่อนอยู่ใต้ Central Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของมหานครแห่งนี้ นี่คือสิ่งที่ท้าทายให้เพื่อนๆหาคำตอบด้วยตนเองในเกมครับ และถึงแม้ตัวเกมจะชื่อ Alone in The Dark แต่ตัวเอกของเราก็ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเสมอไป ในการผจญภัยของเขายังได้พบเจอกับตัวละครเด่นอื่นๆ อย่าง Sarah Flores สาวผู้เชี่ยวชาญงานศิลปะแห่งเมือง ซึ่งจะถือเป็นนางเอกของภาคนี้ก็ได้ เพราะเราจะได้หล่อนร่วมเส้นทางด้วยบ่อยเหมือนกัน และยังมี Theophile Paddington ชายผู้ที่ครั้งนึงเคยรู้จัก และปรากฎในรูปถ่ายคู่กับตัวเอกในสมัยที่เขาเยาว์วัย แต่ในเกมภาคนี้ เขาคือชายชรา ผู้กุมความลับสำคัญที่ช่วยให้ตัวเอกไขปริศนาสำคัญลงได้
ความประทับใจแรกสุดในตัวเกมนั้นดีทีเดียวครับ การออกแบบเมนูต้อนรับ และเสียงเพลงนั้นชวนให้รีบปรับแต่ง Option และเข้าเล่น ในฉากแรกผม-ตัวเอก ได้สติขึ้นมาในห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งรายล้อมไปด้วยแก๊งค์ หรือลัทธิแปลกประหลาดอะไรสักอย่างหนึ่ง พวกมันใช้กำลังข่มขู่ผู้เพิ่งได้สติอย่างผม และ Theophile ผมพบว่าสามารถควบคุมให้ตัวละครกระพริบตา หรือกดค้างเพื่อหลับตาได้ เพื่อช่วยปรับการมองเห็นหลังจากฟื้นขึ้นมา (ซึ่งจะมีส่วนในการแก้ปริศนาด้วยในตอนหลัง) การดำเนินไปของสคริปนั้นดูเข้าทีครับ เกมมีความเป็นภาพยนตร์แฝงอยู่ คัทซีนที่จะมีมาคั่นเกมบ่อยๆนั้น เรนเดอร์สด จากเอนจิ้นของเกม แต่หลังจากเกมเปิดโอกาสให้เข้าควบคุมตัวละครแล้วนั้น ความรู้สึกอึดอัดเริ่มเข้ามานิดๆ และค่อยๆเพิ่มขึ้นสูงเมื่อผมเล่นเกมนี้ไปได้ราว 1 ชั่วโมงเศษ เหตุผลก็คือ การออกแบบการควบคุมนั่นเอง ประการแรก ผู้เล่นไม่สามารถควบคุมมุมกล้อง แยกจากทิศทางของตัวละครได้อย่างอิสระ จะให้เปรียบเปรยก็เหมือนกับคนที่หมุนคอไม่ได้นั่นเอง ให้อธิบายชัดๆก็คือ หากผมต้องการสำรวจรอบๆห้อง ผมต้องบังคับตัวละครเดินหมุนไปมา ซึ่งก็มีข้อรบกวนใจอีก ซึ่งการหมุนของตัวละครนั้นจะหมุนแบบจุดศูนย์กลางไม่อยู่ที่ตำแหน่งของระหว่างเท้าทั้งสองข้าง ถ้าใครเคยเล่นเกมมุมมองที่ 3 อื่นจะเข้าใจว่า หลายๆเกมเวลาหมุนตัวละคร ตัวละครจะไม่เปลี่ยนตำแหน่ง จนกว่าเราจะสั่งเดินหน้า แต่ในเกมนี้จะเปลี่ยนครับ เหมือนเรากดเดินหน้าและหมุนไปพร้อมๆกัน ทั้งที่ไม่ต้องการเลย และเมื่อประกอบกับ ประการที่ 2 ก็คือ ผู้เล่นไม่สามารถมองลงที่พื้นได้ ยกเว้นแต่ในโหมดมุมมองบุคคลที่ 1 ก็สร้างความอึดอัดขึ้นมาอีกทีทันที เพราะหลายครั้งที่ไอเท็มต่างๆนั้นจะอยู่บนพื้น บางอย่างนั้นวางกองอยู่ติดกัน เมื่อเราเดินไปเก็บ เราจะไม่รู้ว่ากำลังจะเก็บอะไรขึ้นมา โดยเฉพาะพวกอาวุธที่เกลื่อนตามข้างทาง เช่น ขวาน ไม้หน้าสาม ท่อเหล็ก เป็นต้น (ขอขึ้นย่อหน้าใหม่ครับ)
ประการที่ 3 ระบบการสลับไปมาระหว่างบุคคลที่ 1 และ 3 ที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ได้โดยตลอดได้ การทำตามสคริปหลายๆครั้งนั้น เกมมันจะสลับกลับไปโหมดบุคคลที่ 3 ให้ทันที โดยส่วนตัวนั้นผมคาดหวังที่จะแก้ปัญหา ทั้งสองข้อแรกด้วยการใช้มุมมองบุคคลที่ 1 ช่วย แต่ก็พบว่ามันน่ารำคาญที่ต้องคอยกดสลับกลับมาย้ำๆ เมื่อเกมมันเปลี่ยนกลับไปให้เป็นมุมมองบุคคลที่ 3 เอง และประการที่ 4 การออกแบบปุ่มสำหรับควบคุมอินเตอร์เฟซหรือเมนูนั้น น่าสับสนอย่างมาก หรือจะว่าไปผู้เล่นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากเพื่อจะใช้งานได้คล่อง กรณีตัวอย่างเช่น ในเมนู PDA นั้นผู้เล่นสามารถกด ESC เพื่อกลับออกมาได้ แต่ในเมนูเรียกใช้ไอเท็ม ผู้เล่นไม่สามารถทำได้ ต้องไปจำปุ่มกดอีกปุ่มหนึ่ง ผู้เล่นต้องใช้ปุ่มหนึ่งในการเข้าสู่เมนู, ต้องใช้อีกปุ่มเพื่อออกจากเมนู, ต้องใช้อีกปุ่มเพื่อกดเรียกไอเท็ม ต้องใช้อีกปุ่มเพื่อเตรียมผสมไอเท็ม และต้องใช้อีกปุ่มเพื่อเตรียมทิ้งไอเท็ม ทั้งๆที่สามารยุบรวมให้เป็นปุ่มเดียว แล้วใช้ระบบลากเมาส์วางทับ หรือระบบเมนูย่อยเข้าช่วย ผมคิดว่านี่เป็นจุดที่ทำให้เกมเล่นยากโดยไม่จำเป็น มันไม่สะดวกเอาซะเลย ที่ต้องย้ายตำแหน่งของนิ้วไปมาเพื่อเรียกไอเท็มสักอันขึ้นมาใช้ ถึงแม้ผมจะพยายามตั้งค่าปุ่มให้ถนัดที่สุดแล้วก็ตาม เกมมีการออกแบบให้ผู้เล่นเรียกใช้ไอเท็มผ่านภาพการเปิดเสื้อแจ๊คเก๊ตของตัวละคร (ถ้าใครไม่เคยเล่น ก็ลองนึกถึงคนโรคจิตใส่ชุดคลุมแล้วเปิดโชว์ของลับพบบ่อยในการ์ตูนอ่านเล่น แต่อันนี้เป็นแบบเปิดแล้วก้มมองลงไปดูของตัวเอง ^^') ซึ่งตรงนี้ผมก็คิดว่ามันดูสมจริงและน่าสนใจดีครับ แต่ขณะที่เปิดนั้นศัตรูสามารถโจมตีผู้เล่นได้ด้วย ดังนั้นถ้าใช้ไม่สะดวกอย่างที่บอกก็เตรียมเสียอารมณ์กันได้เลย ถ้าโชคร้ายที่สุดก็จะเจอ Bug คือมันจะเด้ง ระบบ Favorite Item ขึ้นมา แล้วก็ค้างๆไปดื้อๆซะยังงั้น รีสตาร์ทเครื่องลูกเดียว ต้องขออภัยผู้ติดตาม ที่ครั้งนี้ผมเลือกอัดข้อเสียของเกมก่อนยกใหญ่ แต่ผมคิดว่าผมจะไม่สามารถเขียนประเด็นที่เหลือได้เลย ถ้าไม่ได้กล่าวถึงจุดนี้ก่อนครับ มันมีความสัมพันธ์กับอีกหลายๆอย่างในเกม
แนวทางในการเล่นนั้นเข้าใจง่าย เกมจะมีบอกจุดประสงค์ชัดเจนว่าผู้เล่นต้องทำอะไร และในตอนแรกก็มีการจำกัดพื้นที่เป็นช่วงๆ ปริศนาของเกมจะไม่เน้นการนำไอ้นี่ไปใส่ไอ้นู่น, เอาไอ้นั่นผสมไอ้นี่ แล้วไปวางที่นู่น, ไม่มีการตอบคำถาม แต่จะเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยไอเท็มพื้นฐานที่ใช้เป็นอาวุธได้ หรือวัตถุต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ในละแวกใกล้เคียง อาศัยเรื่องของฟิสิกส์เป็นหลัก ดังนั้นขอให้ผู้เล่นทำความเข้าใจกับระบบไอเท็มพื้นฐาน และใช้มันให้สะดวกคล่องตัว บวกกับความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหา รู้จักสภาพแวดล้อม ใช้ประโยชน์จากไฟได้ดี ก็คิดว่าจะสนุกกับจุดนี้ได้เรื่อยๆครับ เกมมีการเปิดกว้างในการจัดการอุปสรรคพอสมควร การผ่านฉากหนึ่งๆอาจมีหลายวิธี การจัดการศัตรูก็เช่นกัน ซึ่งเดี๋ยวจะว่ากันต่อไป เวลาของเกมนั้นจะอยู่ในช่วงยามราตรีตลอดสมชื่อครับ บรรยากาศก็มีมืดบ้าง สว่างจากหลอดไฟในสถานที่ต่างๆบ้างแตกต่างกันไป ตัวละครนั้นมีไฟฉายที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก็แนะนำให้ปรับหน้าจอให้เหมาะสมก่อนเล่นจริง ถ้าจอสว่างไม่พอก็ลองปรับ Gamma ใน Option ช่วยครับ โดยส่วนตัวนั้นเกมไม่น่ากลัวอย่างที่คิด คือเป็นเกมที่มีบรรยากาศน่ากลัว แต่เล่นจริงๆแล้ว ไม่น่ากลัวครับ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมสะดุ้งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และไม่ใช่สคริปของเกมอีกด้วย ผมเพียงสะดุ้งเองที่มันตีนเบา มาทุบรถแท๊กซี่ในขณะที่ผมกำลังทำการต่อสายตรงอย่างไม่รู้ตัว ใช่แล้วครับ ตัวเอกของเรามีพาหนะหลักคือรถที่จอดทิ้งอยู่ตามที่ต่างๆ เราสามารถเข้าไปขับได้ ถ้ามันไม่ทิ้งกุญแจไว้ให้ ก็ทำการต่อสายตรงด้วยตนเองเสีย ถือเป็นมินิเกมเล็กๆ คันไหนที่ล็อคประตูอยู่ก็สามารถยิงกระจกให้แตก แล้วปลดล็อคด้วยตนเองได้
เกมยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอีกหลายอย่างครับ ผู้เล่นไม่ได้มีแค่ปืนพกสองชนิดที่อานุภาพการยิงแสนธรรมดาๆ ไว้ป้องกันตัวอย่างเดียว ต้องพึ่งพวกขวดเหล้า ขวดระเบิด สเปรย์กระป๋อง ที่หาเก็บได้บ่อยๆ การใช้ หรือการผสมผสานไอเท็มเหล่านี้เพื่อนำไปใช้มีความหลากหลายสูงมาก ยกตัวอย่างผู้เล่นสามารถนำผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าพันแพลมาจุ่มปากขวด แล้วใช้ไฟแช๊คจุด เพื่อทำเป็นระเบิดขวดได้, สามารถพันกาวสองหน้าและติดระเบิดขวดไว้กับกำแพง หรือปาไปที่ติดตัวศัตรูและรอให้มันวิ่งกลับไปที่รังเพื่อจัดการกับรังของมันได้, สามารถนำระเบิดไปผสมกับหัวกระสุนเพื่อทำกระสุนไฟ, สามารถเทลงพื้นตรงๆ และใช้ไฟแช็คจุด สร้างเปลวเพลิงล้อมรอบศัตรูได้, สามารถพ่นสเปรย์กระป๋องผ่านไฟแช็คเพื่อทำเป็นปืนไฟขนาดย่อมได้ สามารถเจาะถังน้ำมันรถยนตร์ด้วยไขควง และรองเชื้อเพลิงใส่ขวดเปล่าไว้ใช้ทำระเบิดต่อ ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วเกี่ยวกับไฟ เหตุผลก็เพราะว่าศัตรูในเกมนี้หลักๆเป็นพวกคนที่โดนปีศาจครอบงำ ซึ่งมันจะเป็นอมตะจากการโจมตีอื่นๆ ยกเว้นอย่างเดียวคือไฟเท่านั้น หากมันสัมผัสกับไฟมากเข้าจะทำให้มันสลายไปทันที ดังนั้นผู้เล่นจึงต้องพึ่งวัตถุไวไฟเป็นสำคัญในเกมครับ หากฉุกเฉินแล้วหาไม่ได้จริงๆ ต้องใช้วิธีลากร่างปีศาจที่โดนทุบจนหมดสติชั่วคราว เข้ากองไฟด้วยตัวเอง ซึ่งการลากนี่ บังคับยากจริงๆครับ มันไม่ได้ดูลื่นไหล สวยงามแบบเกม Splintercell หรืออย่างน้อยอย่าง Hitman เลย บางครั้งเวลาลากไปอยู่ดีๆ ก็ติดกึกกับอะไรก็ไม่รู้ แนะนำว่าให้ใช้การเคลื่อนที่เมาส์ช่วยครับ พยายามรักษาร่างที่จะลากให้ตำแหน่งตั้งตรงอยู่ตลอด
วัตถุหลายๆอย่างที่เห็นเป็นท่อนๆอยู่ในเกม ก็สันนิษฐานได้เลยว่าสามารถหยิบขึ้นมาใช้เป็นอาวุธได้ และถ้ามันทำจากไม้ เราก็สามารถนำไปจ่อกับเปลวไฟ เพื่อเป็นไฟส่องสว่างในทางเดินมืดๆ หรือไปจ่อกับปีศาจอีกที เพื่อกำจัดมัน น่าเสียดายการต่อสู้ด้วยอาวุธประชิดตัวนั้นดูแข็งมากๆ ยังกับหุ่นยนต์สู้กัน การฟาดแต่ละครั้งดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ไม่มีระบบการฟาดต่อเนื่องเป็นท่าคอมโบ ไม่สามารถวิ่งไปเหวี่ยงไปได้ และในมุมมองบุคคลที่ 1 ไม่สามารถฟาดอะไรได้ เราสามารถควงเมาส์เพื่อเปลี่ยนท่าทางการฟาดได้นะครับ ว่าจะฟาดจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย หรือบนลงล่าง ข่าวร้ายคือในบางจุดมันฟาดไม่ติดครับ กดแล้วแข็งไปเลย ไม่มีอาการตอบสนอง ดังนั้นแนะนำว่าพยายามหลีกเลี่ยงครับ การปาขวดระเบิด หรือขวดเหล้าไปหาศัตรู แล้วยิงให้ขวดแตกเพื่อปะทุกลางอากาศอัดหน้าศัตรูนั้น เป็นวิธีการจัดการที่ดูดี มีระดับมาตรฐาน ISO ที่สุดแล้ว
ผมชอบความคิดในเรื่องของการรักษา และระบบ DVD-Style Menu ในส่วนการรักษานั้น หากผู้เล่นบาดเจ็บ ก็ใช้สเปรย์รักษา ฉีดไปที่ส่วนนั้นๆ ซึ่งเราจะเป็นผู้ควบคุมเองครับ ว่าจะฉีดจุดไหน มากเท่าใด และถึงแม้เราจะฉีดไปแล้ว รอยแผลเป็น และรอยขาดของเสื้อก็จะยังอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลไปยังคัทซีนด้วย ดูสมจริงดีครับ คือตัวเอกก็ไม่อยู่ในสภาพที่ดูเนี้ยบตลอด และหากเผอิญถูกโจมตีโดนเส้นเลือดใหญ่ เลือดไหลไม่หยุด จะมีเวลาขึ้นมานับถอยหลัง 7 นาที ถ้าไม่มีผ้าผันแพลหรือ Bandage ต้องรีบหาให้ทัน ไม่งั้นตาย ถ้ามีก็หยิบมาพันได้เลย รอดไป ยังดีที่ผู้พัฒนาเตรียมปุ่มให้เข้าสู่โหมดรักษานี้โดยเฉพาะ ไม่งั้นต้องไปใช้เมนูที่มีการบังคับวุ่นวาย ตายกันก่อนพอดีครับ และสำหรับ DVD-Style Menu นั้นให้อธิบายสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นก็คือ จะเป็นเมนูที่แบ่งเกม ออกเป็นตอนๆ ผู้เล่นสามารถเลือกเล่น, เลือกข้าม หรือย้อนหลังในด่านนั้นๆได้ จะเลือกข้ามไปอีกด่านเลยก็ได้ (แต่ไม่มีเร่งสปีด 4X, 8X อะไรแบบนี้นะ เหอๆ) มันดีตรงที่ท่าผู้เล่นติดตรงไหน ด้วยสาเหตุเพราะว่าวิธีคิดอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์นั้น หรือเบื่อที่จะเล่นในฉากที่เป็นแบบนั้น ก็สามารถใช้เมนูนี้กดข้ามตรงที่ติดไปได้เลย จะไม่ได้ต้องไปเสียเงินซื้อบทสรุป หรือตระเวนหาคำตอบในเวบบอร์ดให้ขัดอารมณ์ คราวนี้ก็จะมีข้อสงสัยว่า แล้วอย่างงี้ไม่ข้ามไปเล่นฉากสุดท้ายกันหมดหรอ คำตอบก็คือ ไม่ได้ครับ หากต้องการเล่นฉากสุดท้าย ก็ต้องเล่นให้ผ่านอย่างน้อย 20 Sequence จาก 33 Sequence และมี Spectral Vision ที่ได้จากการทำลายรากไม้ปีศาจในสวนสาธาณะให้ครบ 50 จากทั้งหมด 100 แต่มันก็ใช้ข้ามด่านได้อยู่ แต่ข้ามแล้วผู้เล่นก็จะพลาดอะไรๆไป ดังนั้นแนะว่าไม่ผ่านจริงๆแล้วค่อยข้ามครับ
เกมมีความยาวประมาณ 8 ชั่วโมงครับ ในการเล่นรอบต่อไปผมรู้สึกว่าจบได้ใน 6 ชั่วโมง หรืออาจเร็วกว่านั้น ในช่วงท้ายๆของเกมผู้เล่นจะต้องขับรถตระเวนไปรอบๆสวน Central Park เพื่อทำลายรากไม้ปีศาจให้เพียงพอ ที่จะช่วยเปิดเผยตำแหน่งของทางลับได้ ซึ่งสวนสาธารณะแห่งนี้ถูกจำลองมาได้ดีมากครับ ตอนแรกผมก็รู้สึกเบื่อๆที่ต้องขับรถตระเวนไปมา ทั้งๆที่ระบบ GPS ก็เรียกดูได้ไม่สะดวกนัก แต่ก็มาหลงในเสน่ห์ยามราตรีของสวน มันมีพื้นที่หลายๆส่วนที่บรรยากาศดูน่าชมดี และผมเข้าใจในตอนติดตามเกมนี้ว่าเขาจำลองมาจากของจริง เคยพบว่าผู้พัฒนาได้ให้ข้อมูลว่าระบบฟิสิกส์ของรถจะนำมาจาก Test Drive Unlimited แต่เท่าที่ผมลอง มันมาไม่ใช่ทั้งหมดนัก รถยังดูไม่สมจริงในการขับเท่าไหร่ แต่การที่ได้แจ๊ครถและขับไปรอบๆสวน มันก็โอเคดีกว่าเดินเท้าเปล่า สามารถเปลี่ยนมุมมองได้สองแบบ คือนอกตัวรถ กับห้องโดยสารเห็นพวงมาลัย มีเหตุการณ์ตามสคริปที่จะช่วยเพิ่มความท้าทายในการขับอยู่บ้างเหมือนกัน รถก็จะเป็นรถบ้านๆธรรมดา และก็รถแท๊กซี่ที่เป็นจุดเด่นของนิวยอร์ค ไม่มีรถอื่นๆที่หวือหวาอย่างรถสปอร์ตอะไรแบบนี้ครับ สำหรับฉากจบของเกมนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ใครอยากดูแบบที่สองก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มเล่นใหม่ทั้งหมดครับ แค่ตัดสินใจแตกต่างในตอนท้ายสุดแค่นั้นเอง ด้วยความหวังดีก็ขอเตือนหน่อยว่า ถ้าใครเพิ่งเล่นจบจะเห็นว่า Continue มันถูกกาทิ้งไป เหมือนเรากาเกมที่ถูกเลื่อนในช่อง Coming Attraction ถ้าอยากเล่นในฉากเก่าๆ ก็ให้เลือก Episodic แล้วเข้าไปย้อนเอาในนั้นอีกที อย่าเผลอไปเลือก New Game นะครับ ไม่งั้น Spectral Vision และ Sequence ที่เล่นทั้งหมดหายเกลี้ยง เกมนี้ไม่มีระบบ Profile ด้วย
คัทซีนของเกมนั้นดูดีน่าติดตามครับ แต่เสียดายมันไม่มีซับไตเติ้ลไว้ช่วยให้ผู้เล่นได้ฝึกภาษากัน และอีกข้อหนึ่งที่อยากจะติคือ ระบบอนิเมชั่นของเกมในการเล่นจริงนั้น ค่อนข้างมีปัญหาในหลายจุด คุณภาพที่ออกมามันช่างต่างจากที่ให้ดูในคัทซีนเหลือเกิน ตัวละครดูเหมือนไม่มีน้ำหนัก และก็แสดงท่าทางแปลกๆให้เห็นโดยแว่ปๆ อยู่หลายครั้ง บางครั้งมันจะกระตุกแบบกึกๆ ทำให้ดูเหมือนว่าเกมกำลังกระตุก แต่จริงๆไม่ใช่ เฟรมเรทของผมในตอนนั้นยังอยู่ที่ 50-60 เฟรมอยู่เลย เกมใช้เอนจิ้นที่พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะ ชื่อ Twilight 2 เห็นแบบนี้กินสเปกพอประมาณเหมือนกันครับ เฟรมเรตจะถูกจำกัดไว้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที 8800GT สามารถปรับได้สุดหมด และรักษาไว้ที่ 60 เฟรมได้ แต่ไม่ทั้งหมดครับ บางช่วงจะตกลงมาเหลือ 35 หรือ นานๆทีก็มาน้อยที่สุดคือ 20 เฟรมกว่าๆ สังเกตได้ว่าเสปกที่แนะนำนั้นก็ค่อนข้างสูงเอาการ แต่อารมณ์ที่ให้มาของภาพก็พอได้ครับ ที่น่าชมคือ ไม่มีการโหลดฉากระหว่างเล่น ฉากย่อยนะครับ ระบบฟิสิกส์ของเกมนั้นดีครับ แต่ไม่ทั้งหมด ที่แย่ที่สุดคือฟิสิกส์ที่เกี่ยวกับการชนของรถ เข้ากับวัตถุหนักๆต่างๆที่บางครั้งรู้สึกเหมือนชนกะละมัง แต่จริงๆเป็นเศษคอนกรีตขนาดเกือบเท่าตัวรถ ยิงปืนใส่น้ำ น้ำก็ไม่มีการกระเพื่อม และมีอาการเอ๋อของวัตถุที่วางอยู่นิ่งๆ แต่กลับดุ๊กดิ๊กได้เองเวลาเราไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ที่น่าชมก็คือระบบของไฟ สมจริงมาก แล้วก็วัตถุพวกโลหะ ไม้ ล้วนมีการโต้ตอบกับกระสุนปืน หรือการขว้างปาได้ดี สิ่งที่จะทำให้มันดูแย่ก็คือเสียง เสียงเอฟเฟ็คในบางช่วงดูขาดหายไป เข้าใจว่าผู้พัฒนาไม่ได้ใส่มามากกว่าที่เป็นปัญหาของเสียง เช่นเสียงของอาวุธพวกที่ทำจากโลหะ มันยังขาดอารมณ์อยู่พอสมควร แต่ดนตรีนั้นทำได้ดีครับ มีดนตรีแทรกขึ้นมาได้ถูกที่ถูกเวลาดี เสียงร้องของศิลปินหญิงนั้น เรียกอารมณ์ร่วมได้ดีทีเดียว
หากเพื่อนๆ ได้เคยสำรวจตามเวปไซต์ต่างประเทศดังๆก็จะพบว่าเกมนี้ได้คะแนนวิจารณ์แตกต่างกันไปมาก ต่ำที่สุดอย่างเวปไซต์ IGN นั้นให้เพียง 3.5/10 มากที่สุดผมเห็นอยู่ราวๆ 7 กว่าๆ สำหรับ Gamespot ให้ 6.5 จากที่ผมเล่นมาจนจะจบอีกหนึ่งรอบ (รอบแรกใช้ความอดทนค่อนข้างสูง) ก็ต้องขออนุญาติสรุปครับว่า ที่คะแนนมันแกว่งมากในแต่ละที่ ก็คงอยู่ที่ว่าผู้เล่นจะยอมรับในข้อเสียของเกมนี้ได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งตั้งแต่เล่นเกมมา ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่มันมาเข้ากรณีนี้ ไม่ใช่ว่าเกมนี้ไม่มีข้อดีครับ มี และเด่นด้วย แต่ว่ามันโดนข้อเสียของมันบดบังจนเกือบหมด คือปัญหาในเรื่องระบบของเกม ทั้งมุมกล้อง การควบคุม และปัญหาทางเทคนิคโดยเฉพาะ Bug ของเมนู และข้อผิดพลาดของอนิเมชั่นที่จะแวะเวียนมาให้เห็น ถ้าจะเปรียบก็คือ ผมขอปลื้มในฝ่าย Game Designer และ Art Director ของเกม แต่ผมไม่ปลื้มในฝ่าย Programer เพราะฉุดสองฝ่ายแรกลงไปพร้อมๆกัน หากเพื่อนๆสนใจในเกมนี้ผมแนะนำว่าให้ลองเล่นดูครับ แล้วดูว่าตัวเองยอมรับในจุดนั้นของมันได้ขนาดไหน ผมแนะนำให้ใช้เวลาสักหน่อยเพื่อชินกับมัน อย่างน้อยด้วยเหตุผลที่มีเกมแนวนี้ไม่กี่เกมที่ดูจะดี และออกมาให้เล่นในปีนี้ครับ แต่ถ้าไม่มีเกมนี้อยู่ในใจอยู่แล้ว และเป็นผู้ที่มีอารมณ์ศิลปินในการควบคุมเกม ต้องการให้ตัวละครเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ ยอมรับไม่ได้กับข้อบกพร่องที่จะมากวนใจ ผมว่าผ่านเกมนี้ไปดีกว่า ตัวผมเองยังแอบคาดหวังครับว่า ผู้พัฒนาจะมองเห็นในข้อผิดพลาด และนำไปปรับปรุงใน Alone in The Dark ภาคต่อไป (ซึ่งคิดว่ามีแน่ เพราะเรื่องราวในตอนจบนั้นยังไม่กระจ่าง) หากเป็นเช่นนั้นผลงานในภาคใหม่ที่ออกมา บวกกับข้อดีในภาคนี้ ก็คงกลับมาเป็นอีกเกมหนึ่งที่น่าจับตามองอีกครั้งครับ เสร็จแล้ว ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ สวัสดี เล่นเกมให้สนุก ได้ประสบการณ์ใหม่ๆนะครับ ^^